เรื่องของการกินเผ็ดมากหรือเผ้ดน้อย ขึ้นอยู่กับความชอบและความสามารถของแต่ละคน แม้พริกจะมีประโยชน์มากแต่ก็ควรทานให้เหมาะสม

พริก เป็นพืชตระกูล Solanaceae เช่นเดียวกับมะเขือเทศ มันฝรั่ง (มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Capsicum frutescens L.) ในประเทศไทย นิยมปลูกอยู่ 2 ชนิดคือ

• พริกเผ็ดน้อยหรือไม่เผ็ดเลย ได้แก่ พริกชี้ฟ้า พริกหวาน และพริกหยวก เป็นต้น (ในกลุ่ม C. annuum)
• พริกเผ็ด ได้แก่ พริกขี้หนูสวน พริกขี้หนูใหญ่ (ในกลุ่ม C. furtescens)

แล้วทำไมพริกถึงมีรสเผ็ด ?

เพราะในพริกมีสารเคมีชื่อ แคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้พริกมีรสเผ็ด ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในเยื่อที่เป็นแกนกลางสีขาว หรือที่เรียกว่า "รก" ส่วนของเนื้อพริก เปลือกผล และเมล็ดพริกจะมีสารแคปไวซินอยู่น้อยมาก

ประโยชน์จากพริก

เสน่ห์ของพริกไม่ได้อยู่ที่ความเผ็ดเท่านั้น แต่ยังรวมประโยชน์เอาไว้อีกมากมาย เช่น

• พริกมีวิตามินซีสูง และเป็นแหล่งของกรด ascorbic acid ซึ่งช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อให้การดูดซึมอาหารดียิ่งขึ้น ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียและนำธาตุอาหารไปยังเนื้อเยื่อของร่างกาย นอกจากนี้พริกยังมีสารเบต้าแคโรทีน และมีวิตามินเอสูงอีกด้วย
• ช่วยให้เจริญอาหาร โดยจะกระตุ้นให้น้ำลายในปากไหลออกมามาก เอนไซม์ในน้ำลายจะช่วยย่อยแป้งในปาก ทำให้รู้สึกว่ารสชาติอาหารดีขึ้น
• รักษาอาการป่วย โดยผู้เชี่ยวชาญโรคปอด ได้จ่ายพริกเป็นยาให้กับผู้ป่วยที่มีอาการหลอดลมอักเสบ พบว่าช่วยกระตุ้นให้เกิดการขับเสมหะ ทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น
• ช่วยทำให้เลือดไม่จับตัวเป็นก้อน ช่วยลดอาการอุดตันของเส้นเลือด โดยมีการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับพริกนั้นจะมีการทำงานของร่างกายเพื่อสลายลิ่มเลือดได้เร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับพริก
• ลดอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น นอกจากนี้พบว่าสารแคปไซซิน จะออกฤทธิ์ต่อเซลล์ประสาท ส่งผลให้สมองส่วนกลางรับรู้การเจ็บปวดช้าลง
• เสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ที่ดี เนื่องจากสารแคปไซซินในพริกมีส่วนช่วยในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสารเอนโดฟิน

พริกเผ็ดที่สุดในโลกคือ...

บุต โจโลเกีย  เป็นพริกพื้นเมืองของรัฐอัสสัม อินเดีย ตามภาษาอินเดียแปลว่า "พริกผี" ชาวอินเดียมีความเชื่อว่าเป็นพริกมงคลเพราะรสชาติที่จัดจ้านของพริกชนิดนี้จะช่วยขับเหงื่อ ซึ่งเสมือนกับเป็นการขับวิญญาณร้ายออกจากร่างกายของเรา