เพราะ “น้ำมันมะกอก” มีหลากประเภท การเลือกเพื่อใช้ประกอบอาหารแต่ละประเภทก็เลยมีความแตกต่างกันออกไปด้วย จะให้ดีต่อสุขภาพ ก็ต้องดูให้ดีก่อนว่าประเภทไหนใช้กับเมนูอะไร ไม่เช่นนั้น น้ำมันที่ว่ากันว่าดีต่อสุขภาพ ก็อาจจะกลายเป็นภัยร้ายที่ก่อโทษให้กับร่างกายของคุณได้ในที่สุดนั่นเอง

เนื่องจาก “น้ำมันมะกอก” มีทั้งแบบที่รับประทานสด และแบบนำไปผ่านความร้อนก่อน ประเภทของน้ำมันมะกอกจึงแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้คือ…

เอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น (extra virgin) ใช้รับประทานสด และทำจากมะกอกสด จึงมีสีเขียวเข้ม เป็นน้ำมันที่ดีที่สุดในบรรดาน้ำมันมะกอกทุกประเภท จึงมีราคาค่อนข้างสูง ไม่ควรนำไปผ่านความร้อนเด็ดขาด เพราะนอกจากจะเสียคุณค่า และอาจเปลี่ยนเป็นไขมันไม่ดีต่อร่างกาย

เวอร์จิ้น (virgin) มีสีออกเหลืองปนเขียว เป็น น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่นำผลมะกอกที่แก่กว่ามาทำ จึงมีคุณภาพรองลงมา การใช้ให้ได้คุณค่าสูงสุด คือต้องใช้กับกระบวนการประกอบอาหารแบบไม่ผ่านความร้อน เช่นผสมในน้ำสลัด หรือใช้ผสมกับซอสพาสต้า ไม่นำไปใช้ผัดอาหาร หรือทอด

แบบผสม (olive oil หรือ pure olive oil) สีออกเหลือง มีส่วนผสมของเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น แต่ผ่านกรรมวิธีเพิ่มคุณค่าทางอาหารเข้าไปด้วย จึงทำให้มีสารอาหารใกล้เคียงกับเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้นเลยทีเดียว แต่ข้อแตกต่างคือ แบบผสมจะทนความร้อนได้มากกว่า จึงเหมาะกับการผัด แบบผ่านความร้อนแบบเร็วๆ

แบบผ่านกรรมวิธี (Refined Olive Oil, Light Olive Oil, Extra Light Olive Oil) มีความใสกว่าแบบอื่นๆ ไม่มีส่วนผสมของเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้นอยู่เลย แต่ก็มีคุณค่าทางอาหารคล้ายกับแบบผสม และผ่านการสกัด สี กลิ่น รส ด้วยกระบวนการทางเคมี สามารถนำมาใช้ทอดได้ เพราะทนความร้อนกว่าแบบอื่นๆ แต่ไม่ควรรับประทานแบบสดๆ

กากมะกอก (olive pomace oil) มีคุณภาพต่ำที่สุด เพราะสกัดจากกากมะกอกแล้วนำไปผ่านกระบวนการทางเคมีอีกที เป็นน้ำมันที่เหมาะกับการทอดแบบที่ต้องใช้น้ำมันเยอะๆ Deep Fried มีราคาถูกที่สุด แต่ไม่ค่อยมีคนนิยม มีไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกายมากกว่า

#FoodieTaste #FoodieTasteThailand #คิดจะทำอาหารคิดถึงฟู้ดดี้เทสต์